การแข่งขัน จักรยาน รายการต่างๆ ที่น่าสนใจ

รวบรวมการแข่งจักรยาน รายการต่างๆ ที่น่าสนใจ ในส่วนนี้ ผมจะพยายาม หามาฝาก ให้ได้มากขึ้นครับ

จักรยานเสือภูเขา

สำหรับ ท่านที่เป็นแฟน จักรยานเสือภูเขา ทางผมจะพยายาม นำเรื่องราว เกี่ยวกับจักรยานประเภทนี้มานำเสนอให้มากขึ้น ครับ ที่ผ่านมา ผมคิดว่ามันยังน้อยอยู่ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยถนัด ทางเสือภูเขามากเท่าไหร่ครับต้องขออภัย ไว้ล่วงหน้าหากมีข้อมูลผิดพลาด ครับ

อะไหล่ จักรยาน และเทคโนโลยี ต่างๆ

ในปัจจุบัน มีการพัฒนาไปมากครับ จนเราๆ ท่านๆ แทบจะหาเงิน มาเปลี่ยน อะไหล่พวกนี้กันแทบไม่ทัน ใครที่มีทุนมากหน่อย ก็สบายหน่อยครับ ได้ใช้ของใหม่ ก่อนใครเพื่อน ส่วนใครทุนน้อย ก็คงต้องรอของมือสองกันละครับ

จักรยาน BMX

จักรยาน BMX เป็นจักรยานที่ได้รับความนิยม มาอย่างยาวนาน และการพัฒนาของจักรยานประเถทนี้ ก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่า จักรยาน ประเภทอื่นเลยครับ

จักรยาน ไทม์ไทรอัล

จักรยาน ประเภท ไทม์ไทรอัล หรือที่ใครหลายคน เรียกว่าจรวจทางเรียบ นั่นแหละครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ขายจักรยานเสือหมอบมือสอง เชียงใหม่

จักรยานเสือหมอบ มือสอง
จักรยานเสือหมอบ มือสอง เชียงใหม่

ผมต้องการขาย จักรยานเสือหมอบ มือสอง จักรยานคันนี้ผมใช้เอง และประกอบแต่ละชิ้นส่วนขึ้นมากับมือครับ ที่ต้องการขายเพราะว่าต้องการระดมทุน เพื่อไปประกอบจักรยานคันใหม่ บอกตรงๆผมไม่ได้ไปลงประกาศไว้ที่เว็บอื่นนะครับ คือต้องการอยากให้เพื่อนๆ ที่เขามาในบล็อกผมได้เห็นกันก่อน และไม่ต้องกลัวเรื่องการโกงกันครับ เพราะผมไม่ชอบที่จะเอาเปรียบคนอี่นอยู่แล้วครับ และผมขออนุญาต ไม่ส่งทางไปรษณีย์ คืออยากให้เพื่อนๆ ได้มาเห็นสภาพรถจักรยานกันก่อนเพื่อ ความสบายใจ กันทั้งสองฝ่าย ถ้าถูกใจค่อยซื้อครับ ส่วนเรื่องราคานั้น ผมตั้งไว้ที่ 10,000 บาทครับ

ปิดการขายไปแล้วครับ เมื่อประมาณ 15:00 น. ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ขอบคุณทุกๆ คนที่ให้ความสนใจโทรมา ติดต่อ ผมนะครับ

รายละเอียด ของจักรยานเสือหมอบ มือสองคันนี้มีดังนี้ครับ

  • เฟรม เป็นของยี่ห้อ GIANT TCR Compact Road (Size M) ตัวเฟรมเป็นอลู, ตะเกียบเป็น คาร์บอน ซางอลู
  • จานหน้า Campagnolo รุ่น Centaur (คาร์บอน) 53/39 ขาจานยาว 172.5
  • สเต็ม FSA ตัวอลู ฝาหน้าคาร์บอน
  • เบาะ VELO สภาพควรเปลี่ยนใหม่
  • หลักอาน FSA (คาร์บอน)
  • แฮนด์ FSA Wing  (อลู)
  • มือเบรค พร้อมเกียร์ Campagnolo รุ่น Centaur (คาร์บอน) 10 Speed
  • กล้ามเบรค  Shimano 105 (รุ่นนี้ผมเก็บมา 20 ปี ใหม่แกะกล่อง แล้วนำมาใส่จักรยานคันนี้ เดี๋ยวนี้สภาพนี้หายากมากครับ สภาพ 90% up เพราะเอามาใส่คันนี้คันแรก เลย)
  • สับจานหน้า Campagnolo รุ่น Centaur
  • สับเฟืองหลัง  Campagnolo รุ่น Centaur (คาร์บอน + อลู)
  • โซ่ Shimano 105
  • เฟืองหลัง Shimano 105 (10 speed)
  • บันได Shimano 105
  • ชุดล้อ และดุม  Shimano WH-R550 (ดุมล้อสวยมาก ผมชอบแบบนี้ เพราะมันไม่ค่อยเหมือนใคร)
  • ขากระติก คาร์บอน
  • ไมล์ Cateye Strada แบบสาย มีวัดรอบขา
  • ขาตั้งจักรยาน แถมไปครับ
เพื่อนๆ ก็ได้ทราบรายละเอียดของ อะไหล่ จักรยานเสือหมอบกันนี้กันไปบ้างแล้ว ข้างล่างก็เป็นรูปที่ผมถ่ายสภาพจักรยาน มาให้ได้ดูเพื่อประกอบการตัดสินใจกันครับ

กล้ามเบรคหน้าจักรยาน
กล้ามเบรค Shimano 105

จานหน้า เสือหมอบ คาร์บอน
จานหน้า Campagnolo รุ่น Centaur คาร์บอน 53/39

กล้ามเบรคหลัง จักรยานเสือหมอบ
กล้ามเบรคหลัง ดูสภาพกันไกล้ๆ

ดุมล้อหลังจักรยานเสือหมอบ
ดุมล้อ, เฟืองหลัง และสับเฟือง
เหตุผลที่ผมใช้โซ่ และเฟืองหลัง เป็นของ Shimano เพราะว่า ผมไม่ชอบเสียง เวลาฟรีเท้าของเฟือง Campagnolo ครับ เพราะเสียงมันจะดังมากเกินไป และราคาแพงกว่ามากครับ ผมเคยถามช่างว่า ชุดเกียร์ Campagnolo สามารถใช่กับโซ่ และ เฟืองของ Shimanoได้หรือเปล่าช่างบอกผมว่าไม่ได้ ผมยังนึกในใจอยู่ว่า ทำไม่มันจะไม่ได้ ผมเลยลองเองเลยครับ ปรากฏว่า มันก็ไช้ร่วมกันได้ครับ ของแบบนี้ต้องลองเองถึงจะรู้ครับ
สับจานหลัง เสือหมอบ
สับเฟืองหลัง Campagnolo Centaur (คาร์บอน + อลู)

คอแฮนด์ และสเต็ม เสือหมอบ
สภาพแฮนด์ และสเต็ม
หากใครไม่ชอบผ้าพันแฮนด์ แบบขาวดำ แบบผม เดี๋ยวผมพันให้ใหม่ครับ แต่เป็นสีขาวนะครับ อีกอย่างที่ผมเลือก แฮนด์เป็นแบบ Wing เพราะว่าเวลา จับแฮนด์บนแล้ว มันจะไม่ค่อยปวดมือครับ
ขากระติก คาร์บอน และโลโก้
ขากระติก คาร์บอน และ เฟรม GIANT TCR Compact Road (Size M)

มือเบรค Centaur 10 speed
ภาพจักรยานเสือหมอบถ่ายจากมุมด้านหน้า

จักรยานเสือหมอบ มือสอง ด้านซ้าย
ภาพเต็มๆ จากทางด้านซ้าย

ด้านล่างนี้คือ ภาพอะไหล่ จักรยาน ที่มีตำหนิ ครับ

เบาะจักรยานเสือหมอบ
เห็นกันชัดๆ ไปเลยครับ ว่าควรเปลี่ยน เบาะครับ
เรียกว่าใช้กันจนคุ้มครับเบาะใบนี้ ตอนแรกผมว่าจะถอดออก แล้วค่อยถ่าย แต่นึกดูอีกที ถ่ายให้เห็นสภาพที่แท้จริงกันไปเลยครับ แบบว่าจริงใจหนะครับ อยากให้เห็นจุดที่ไม่สวยด้วยครับ
สับจานหน้าจักรยานเสือหมอบ
ขายึดสับจานหน้าที่ผมไปให้ช่างเขาเชื่อมให้ใหม่
ภาพข้างบนนี้เป็นสภาพของขายึดสับจานหน้า อยู่ดีๆ มันก็หักไปเอง ผมเลยออกไปหาซื้อใหม่ทางร้านบอกว่าไม่มี เจ้าของร้านบอกต้องไปให้ช่างเขาเชื่อมให้ ผมก็เอาไปให้ช่างเขาเชื่อมให้ใหม่ แล้วผมก็มานั่ง ตะไบ ส่วนเว้า ข้างในให้เรียบเพื่อที่จะยึด สับจานหน้ากลับเข้าไป รับประกันความทนทาน โดยช่างเชื่อม หม้อน้ำมืออาชีพ แถบลุ้มน้ำปิง

รถจักรยานเสือหมอบคันนี้ ผมใช้งบประกอบไปร่วม 40,000 บาท แต่ผมคิดว่าไหนๆ ก็จะขายเป็นมือสองแล้ว จะขายแพงไปทำไม เลยตั้งราคาไว้ที่ 10,000 บาท ซึ่งถูกมากๆ สำหรับรถที่มีอะไหล่ ระดับนี้ เพื่อนๆ คนไหนสนใจก็โทรมานัดดู รถจักรยานเสือหมอบ คันนี้กันได้ครับ ผมขออนุญาต ไม่แยกอะไหล่ขายนะครับ อยากขายเป็นคันไปเลย หากต้องการนัดดูรถจักรยาน ขอเป็นตอนกลางวันนะครับ เกือบลืมบอกไปครับ ผมอยู่จังหวัดเชียงใหม่นะครับ ถ้าจะนัดดูรถขอเป็น บริเวณแถวไกล้บ้านผมนะครับ บ้านผมอยู่แถวๆ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ โทรมาคุยกันก่อนได้นะครับ ขอบคุณมากครับ

21 กุมภาพันธ์ 2557 ผมได้ปรับราคาลง เป็น 12,000 บาท จากเดิมที่ผมตั้งไว้ 14,000 บาท
22 กุมภาพันธ์ 2557 ผมลดราคาลงอีก เป็น 11,000 บาท
23 กุมภาพันธ์ 2557 ปรับราคาลงอีก เป็น 10,000 บาท

ขายไปแล้วครับ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2557 ขอบคุณทุกคนที่สนใจ นะครับ


บทความอื่นๆ ในบล็อกนี้ วิธีปั่นจักรยาน ให้นิ่ง และนุ่มนวล

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

วิธีปั่นจักรยาน ให้นิ่ง และนุ่มนวล

วิธีปั่นจักรยาน

บางท่านอาจจะกำลังคิดในใจว่าทำไมผมต้องมาเขียน วิธีปั่นจักรยาน ให้นิ่ง และนุ่มนวลไปเพื่ออะไร (ก็ฉันปั่นธรรมดาๆ มันก็ดีอยู่แล้ว ฉันอยากจะปั่นยังไงมันก็เรื่องของฉัน) นั่นมันก็เป็นสิทธิของท่านครับ แต่ที่ผมจะมาพูดถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่า หากเราต้องการจะขี่จักรยานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้พลังงานทุกแคลอรี่อย่างคุ้มค่าที่สุด สำหรับนักปั่นจักรยานทางไกลแล้วละก็พลังงานทุกๆ แคลอรี่ของคุณต้องใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด ส่วนนักปั่นจักรยานระยะสั้นที่ต้องการมี รอบขา (RPM) ระดับเทพ คุณยิ่งต้องเอาใจใส่ในเรื่องนี้ครับ มิเช่นนั้นคุณจะไม่สามารถสัมผัส การปั่นด้วยรอบขา ระดับ 160 รอบ/นาที ขึ้นไป ได้เลยครับ

ทำไม่ต้องปั่นจักรยานให้นิ่ง และนุ่มนวล

  • ประโยชน์ของการปั่นจักรยานให้นิ่ง และไม่วอกแวกนั้น สำหรับนักปั่นจักรยานระยะกลาง และระยะไกล นั้นมันจะช่วยให้คุณ สามารถเซฟพลังงานในการปั่นได้เยอะกว่าการที่คุณโยกหัว หรือลำตัวไปมาตามจังหวะการปั่น ผมว่าคุณคงเคยสังเกตุเห็นนักปั่นจักรยานบางคน ปั่นแบบนั้นมาบ้างแล้วนะครับ ซึ่งมันอาจจะเป็นสไตล์ของตัวเขาเอง แต่คุณอย่าไปทำตามเลยครับ มันเปลืองพลังงานเปล่าๆ
  • หากคุณกำลังปั่นจักรยาน กับกลุ่มเพื่อนๆ ของคุณ หรือกำลังทำการฝึกซ้อมแบบเป็นทีม การที่คุณขี่ได้นิ่ง และไม่วอกแวก มันจะทำให้เพื่อนที่กำลังปั่นตามคุณอยู่มีความมั่นใจในตัวคุณ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าคุณจะเป๋ซ้าย หรือขวา อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุได้ด้วยครับ
  • การที่คุณสามารถปั่นจักรยานได้นิ่ง และนุ่มนวล ในรอบขาที่สูงๆ ได้นั้นมันจะบ่งบอกถึงประสบการณ์ ในการปั่นจักรยานของคุณได้เป็นอย่างดี ซึ่งคนที่จะสามารถทำได้นั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างถูกต้อง และใช้เวลาเป็นแรมปี

คำแนะนำก่อนทำการฝึกปั่นจักรยาน แบบนี้

  • มั่นใจว่าคุณได้ปรับตั้งจักรยานของคุณ ให้พอดีกับสรีระของคุณแล้ว ถ้าคุณยังไม่มั่นใจว่าปรับได้ถูกต้องหรือเปล่า ตามไปอ่านบทความนี้ก่อนครับ การปรับแต่งจักรยานให้เหมาะสมกับผู้ขี่ 
  • คุณได้ใช้รองเท้า และบันไดจักรยาน แบบนักปั่นจักรยานหรือเปล่า ผมคงไม่ต้องบอกนะครับว่านักปั่นจักรยานเขาใช้รองเท้า และบันไดจักรยานกันแบบไหน ถ้าไม่มีคุณก็ไม่สามารถฝึกได้ครับ แต่ผมมั่นใจว่า 100% นักปั่นต้องมีใช้กันครบทุกคน
  • หากคุณอยากจะเป็นตัวสปริ้น ฝีเท้าจัดสิ่งที่คุณขาดไม่ได้เลยคือลูกกลิ้ง (Trainer rollers) อันนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ หากเราพร้อมเมื่อไหร่ก็หาซื้อทีหลังก็ได้ แต่คนที่มีจะได้เปรียบกว่าครับ

วิธีฝึกปั่นจักรยาน ให้นิ่ง และนุ่มนวล ตามแบบของผม


วิธีปั่นจักรยาน ควงเท้า
1. ต้องรู้จักการควงเท้าก่อน (ภาษาจักรยานเขาเรียกควงเท้าจริงๆ นะครับ) สังเกตุภาพข้างบนตรงวงกลมสีเขียวครับ เป็นวงกลม 360 องศา ซึ่งการออกแรงปั่นบนบันไดจักรยานนั้น เราต้องกวาดบันไดเป็นวงกลมดังภาพครับ หากใครไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือไม่เข้าใจที่ผมอธิบายไม่ต้องห่วงครับอ่านข้อสองได้เลย

2. ให้ปั่นจักรยานโดยใช้ขาข้างเดียวปั่น โดยขาอีกข้างไม่ต้องแตะบันไดจักรยาน คุณจะรู้เองครับว่าการควงเท้ามันเป็นอย่างไร เพราะคุณต้องออกแรง ปั่นจักรยาน โดยใช้ขาข้างเดียว และพยายามจำความรู้สึกนั้นใว้ครับเวลาคุณปั่นจักรยานทั้งสองเท้าคุณก็แค่ควงเท้าเป็นวงกลม ให้สัมพันธ์กันทั้งเท้าซ้ายและขวา

3. พอคุณรู้แล้วว่าต้องปั่นควงยังไง คราวนี้ ก็ได้เวลาฝึกปั่นกันบ้างครับ เวลาคุณออกไปฝึกซ้อมจักรยาน ขณะที่คุณกำลังฝึก พยายามนึกอยู่เสมอว่า ตัวต้องนิ่ง หัวอย่าโยก แต่อย่าเกร็ง นะครับเดี๋ยวเป็นตะคริว ผ่อนคลาย ในท่าปั่นที่ถูกต้อง

ลูกกลิ้งแบบ โรลเลอร์
4. หากใครมีลูกกลิ้งแบบ โรลเลอร์ ผมว่าได้เปรียบกว่าครับ เพราะคุณจะสามารถเรียนรู้การควงเท้าได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่มีครับ ฉนั้น ก็ยกรถขึ้นลูกกลิ้งไปครับ ปั่นด้วยรอบขาสบายๆ ซัก 10 นาที เพื่อเป็นการวอร์มอัพครับ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มรอบขาขึ้นเรื่อยๆ พอรอบขาของคุณไปแตะที่ 100รอบ/นาที ให้คงที่ไว้ครับ ปั่นไปให้ครบ 30 นาที แล้วค่อยวอร์มดาวน์ สาเหตุที่ผมให้ปั่นคงที่ที่ 100รอบ/นาที เพราะว่า คนที่ไม่เคยขึ้นลูกกลิ้งประเภทนี้ หากใช้รอบขาเยอะกว่านี้ ผมกลัวว่าจะกระเด็นตกลูกกลิ้งได้ครับ ซึ่งพอเราปั้นจนชำนาญแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มรอบขาเข้าไปครับ พอนานวันเข้าคุณก็จะชำนาญ ซึ่งผมเชื่อว่า รอบขา 130รอบ/นาที ปั่นไปครึ่งชั่วโมง แล้วสปริ้น สุดๆ ปิดท้ายอีก 2 - 3 นาที ก่อนวอร์มดาวน์ คุณจะสามารถทำได้เองครับ หากคุณตั้งใจจริงผมว่ารอบขาตอนสปริ้น ระดับ 160รอบ/นาที หรือมากกว่านั้นคุณก็สามารถทำได้ครับ

5. หลังจากคุณฝึกปั่นบนลูกกลิ้งแล้ว คุณลองยกจักรยาน ออกมาปั่นเพื่อวอร์มดาวน์บนถนนจริงๆ คุณจะรู้สึกได้เลยครับว่า คุณปั่นจักรยานได้นิ่งกว่าเดิมเยอะครับ

เมื่อคุณฝึกจนมีความชำนาญแล้วผมเชื่อว่า คุณจะสามารถปั่นจักรยาน ได้นิ่ง และนุ่มนวลขึ้น จนเพื่อนๆ คุณอาจแปลกใจ ว่าคุณไปทำอะไรมาถึงได้ปั่นแบบนิ่มๆ แต่เร็วจนพวกเพื่อนๆ บอกว่ารอเราด้วยฉันตามไม่ทัน และคุณอาจกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมไปเลยก็ได้ครับ


บทความแนะนำอื่นๆ ปั่นจักรยานแล้วมีสุนัขไล่กัดควรทำอย่างไร

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ปั่นจักรยานแล้วมีสุนัขไล่กัดควรทำอย่างไร

สุนัขวิ่งไล่จักรยาน

เพื่อนๆ หลายคนคงเคยเจอกับตัวเองมาบ้างแล้วนะครับ เวลาเราปั่นจักรยานไปตามที่ต่างๆ บางคนไม่ต้องไปไกลหลอกครับ แค่ปั่นออกมาจากซอยยังไม่ทันได้ถึงถนนใหญ่ ก็อาจจะเจอน้องหมาไปแล้ว หลายด่านครับ ผมว่าปัญหาสุนัขวิ่งไล่จักรยานนี้เป็นปัญหาคลาสสิคเลย สำหรับคนปั่นจักรยาน มีทั้งแบบ แค่เห่าเฉยๆ หรืออาจจะวิ่งเพื่อมากัดเราโดยเฉพาะเลยก็มีครับ ยิ่งถ้าหากบ้านไหนปล่อยน้องหมาออกมาเดินเพ่นพ่านนอกบ้านนี่ก็ลำบากหน่อยครับ อาจจะเสียเงินค่ารักษา พร้อมค่าทำขวัญให้ชาวบ้านได้ครับ เพราะการที่น้องหมา ของเขาเหล่านั้นไปไล่กัดชาวบ้านเขาไปทั่ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยครับถ้าหากเหล่าเจ้าของน้องหมา เอาใจใส่ในเรื่องเหล่านี้โดยดูแลน้องหมาของคนเองให้อยู่ในบ้าน หากบ้านไหนไม่มีรั้วก็ควรผูกน้องหมาของต้วเองไว้ครับ เพื่อไม่ให้ไปทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเขาครับ

ซึ่งในบทความนี้ผมจะขอแนะนำ หากเราไปเจอสุนัขจรจัด หรือน้องหมาที่เจ้าของไม่ค่อยได้เอาใจใส่ดูแลนะครับ คือชอบปล่อยน้องหมาของตนเองออกไปเดินเพ่นพ่าน ซึ่งมีอยู่เยอะครับในปัจจุบัน เวลาน้องหมาของตนไปไล่กัดชาวบ้านก็จะนั่งดูเฉยๆ พอชาวบ้านถูกสุนัขกัดจริงๆ แล้วจะขอค่ารักษา กลับบอกว่าตนไม่ได้เป็นเจ้าของสุนัขเหล่านั้น แต่พอมีเจ้าหน้าที่มาไล่จับสุนัขจรจัด ก็จะรีบเอาน้องหมาของตนเข้าไปไว้ในบ้าน เพื่อนๆ ลองคิดดูเอาเองครับว่า มันสมควรหรือเปล่า

แล้วทำไมสุนัขจึงชอบเห่า และไล่กัดผู้ที่กำลังปั่นจักรยาน

  • เพราะสุนัขโดยธรรมชาติแล้ว มันจะไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาในอาณาเขต ของมันครับ ยกเว้นเจ้าของ หรือคนที่มันคุ้นเคย มันจะไม่เห่าไล่ครับ

  • เกิดจากการเลี้ยงดู แบบผิดๆเช่น ขังสุนัขไว้ตั้งแต่ตอนมันยังเล็ก แล้วมาปล่อยให้เป็นอิสระตอนมันโต มันเลยรู้สึกเก็บกดครับ เจอคนแปลกหน้าจะไล่เห่าอย่างไวเลยครับ

  • เกิดจากคนเรานี่แหละครับ ที่ชอบไปแกล้งมัน น้องหมามันรู้นะครับว่าใครเล่นกับมันจริงๆ หรือว่าใครที่อยากแกล้งมันเฉยๆ พอนานเข้ามันก็จะเก็บกด ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้ครับ ว่าวันไหนน้องหมาจะทนไม่ได้ แล้วไล่กัดคนไม่เลือกหน้า ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าของน้องหมาเองครับ เพราะฉนั้นอย่าไปแกล้งมันครับ เลี้ยงดูมันให้ดีครับแล้วมันจะเป็นเพื่อนที่ดีของเราตลอดไปครับ

วิธีแก้หากเราปั่นจักรยานแล้วต้องไปเจอน้องหมา

  1. เมื่อเราปั่นจักรยานไปเจอน้องหมากำลังนอนอยู่แล้วหันมามองเรา สิ่งที่ควรทำคืออย่าไปจ้องมันกลับครับ เดี๋ยวมันจะหาว่าเราอยากมีปัญหาแล้วลุกมาไล่กัดเราได้ พยายามปั่นไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ แต่ใช้หางตาแอบดูมันบ้างก็ดีครับเกิดวันนั้นมันอารมณ์ไม่ดี แล้วมาลงที่เราพอดีเราจะได้ตั้งตัวทันครับ

  2. หากเรากำลังปั่นจักรยานในซอยแคบๆ แล้วไปเจอน้องหมากำลังจับกลุ่มคุยกันไกลๆ อยู่ 5 - 6 ตัว เราควรหันรถจักรยานกลับครับ อย่าเข้าไปเสี่ยงเลยครับ โอกาสโดนยำมีสูงครับ อย่าว่าแต่จักรยานเลยครับ ผมขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปเที่ยวหาเพื่อนผมในซอย ผมเจออยู่ข้างหน้า 4 - 5 ตัว แต่ผมเป็นคนที่ไม่กลัวหมาครับ ก็ขี่เข้าไปตามปรกติ แค่นั้นละครับวิ่งมากันทั้ง 5 ตัวเลยครับ กะยำผมแน่นอน แต่โชคยังดีมีน้องผู้ชายคงเป็นคนแถวนั้น ช่วยออกมาตะโกนไล่น้องหมาให้เลยรอดตัวไปครับ เพราะฉนั้นถ้าเจอน้องหมาอยู่กันเป็นกลุ่มทางที่ดีอย่า ผ่านทางนั้นเลยครับ แต่หากจำเป็นจริงๆ หรือจะไปเที่ยวหาเพื่อนหรือ ญาติควรโทรให้เขาออกมารับเราดีกว่าครับ ปลอดภัย  แถมน้องหมาจะได้รู้ด้วยว่าเราเป็นเพื่อนกับคนแถวนั้นครับ

  3. สุนัขกับจักรยาน
  4. หากเราต้องปั่นจักรยานไปในเส้นทางเดิมๆ ทุกวันแล้วก็ต้องเจอน้องหมาตัวเดิมไล่กัดเราทุกวัน อันนี้เพื่อนผมบอกมาครับ คือให้เราพกอาหารสุนัข หรือกระดูกไก่ ติดตัวไปด้วยครับไม่ต้องเยอะนะครับ แค่ซัก 1 กำมือก็พอครับ หากน้องหมาไล่เห่า เราก็โยนอาหารให้มันกินครับ วันแรกๆ มันอาจจะงงๆ อยู่ครับเลยไม่กล้ากินแต่พอนานไปมันจะรู้ครับ ว่าเราอยากเป็นมิตรกับมัน และยอมกินอาหารที่เราโยนให้ คราวต่อไปมันก็จะเลิกเห่า แล้วจะออกมารอเรา เพราะมันรู้ว่าถ้าเราผ่านมามันจะได้กินขนมครับ ฉนั้นผูกมิตรกับมันไว้ดีกว่าครับ สบายใจกันทั้งสองฝ่ายครับ
หากเจอเหตุการณ์สุดวิสัย คือหากเจอน้องหมาวิ่งมาจากไหนไม่รู้ ซึ่งเราไม่รู้ตัวมาก่อนว่ามีน้องหมาอยู่แถวนั้น แล้วพุ่งออกมาวิ่งไล่กัดเรา ซึ่งเรามีวิธีการป้องกันตัวดังนี้ครับ

  • ตั้งสติให้ดีอย่าตกใจมากครับ แต่นิดเดียวพอได้ครับ พยายามควมคุมรถจักรยานให้ดีครับ ถ้าอยู่ในซอยอย่าเร่งความเร็วหนีนะครับ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าหากเป็นถนนใหญ่ และมั่นใจในความเร็วของเราก็สปริ้นจักรยานหนีเลยครับ เพราะถ้าหากพ้นอาณาเขตของมันไปแล้วน้องหมาจะเลิกตามเราไปเองครับ

  • หากท่านใดพกกระป๋องน้ำดืมไปด้วย ก็ชักออกมาฉีดใส่มันเพื่อไล่มันไปได้ครับ วิธีนี้ผมเคยลองใช้แล้วครับ ได้ผลดีครับ คือจะทำให้น้องหมางง และชงักไปชั่วขณะ ซึ่งทำให้ระยะห่างของเรากับน้องหมา ห่างกันมากขึ้นแล้วพ้นอาณาเขตของมันไปในที่สุดครับ

  • ให้ตะโกนดังๆ ไล่มันครับ เช่น (เข้าบ้านไป!!) วิธีนี้คนฝึกสุนัขเขาบอกมาครับ เพราะน้องหมาส่วนใหญ่จะกลัวคนเสียงดังๆ ครับ และที่ให้ใช้ประโยคนี้ก็เพราะว่า เจ้าของน้องหมาส่วนใหญ่ จะใช้มันเพื่อเรียกน้องหมาเข้าบ้านกันครับ มันเลยจะคุ้นกับประโยคนี้ดีครับ

  • ง้างมือ เหมือนเรากำลังจะขว้างก้อนหินใส่มัน แต่แค่หลอกให้มันกลัวเฉยๆ ครับเพราะส่วนใหญ่สุนัขจรจัด จะจำท่านี้ได้ดีครับ แต่อย่าเอาก้อนหินจริงๆ ขว้างใส่มันเลยนะครับ สงสารมันครับ แค่ขว้างหลอกๆ มันก็วิ่งหนีแล้วครับ แล้วเราก็ปั่นจักรยานจากไปอย่างลอยนวลครับ

หากท่าน ปั่นจักรยาน ไปเจอสุนัขพันธุ์ดังต่อไปนี้ หรือหากท่านรู้ว่าพวกมันอาศัยอยู่แถวนั้นพึงระวังไว้ให้มากครับ และถ้าหากเป็นไปได้อย่าผ่านไปเส้นทางนั้นครับ หากเจ้าของน้องหมาพันธุ์ดังกล่าว ไม่ได้ผูกมันไว้ หรือปล่อยให้มันออกมาเพ่นพ่านนอกบ้านครับ

5 อันดับสุนัขพันธุ์ดุ ดังต่อไปนี้ที่นักปั่นจักรยานทั้งหลายควรระวัง


พิทบูล เทอร์เรีย
1. อเมริกันพิทบูล เทอร์เรีย (American Pit Bull Terrier)
ร็อตไวเลอร์
2. ร็อตไวเลอร์ (Rottweilers)
เยอรมันเชพเพิร์ด
3. เยอรมันเชพเพิร์ด (German Shepherd)
บ็อกเซอร์
4. บ็อกเซอร์ (Boxer)
ไซบีเรียน ฮัสกี้
5. ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian husky)


หมายเหตุ หากเราโดนน้องหมาไล่กัดอย่าไปโกรธ แล้วกลับไปทำร้ายมันคืนนะครับ บาปกรรมเปล่าๆครับ ถ้าหากเราเข้าใจธรรมชาติของมันเราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ครับ สุนัขจรจัด หรือสุนัขอื่นๆ นิสัยธรรมชาติของมันจะหวงอาณาเขตของตนเอง หากมีสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งที่มันไม่คุ้นเคย ซึ่งเราต้องเข้าใจครับว่าการที่เราปั่นจักรยานเข้าไปในเขตของมันเท่ากับว่า เราได้บุกรุกเข้าไปในอาณาเขตของน้องหมาแล้ว ดังนั้นมันจึงพยายามขับไล่สิ่งเหล่านั้นรวมทั้งเราด้วย เพื่อให้ออกไปจากอาณาเขตของมัน ก็เหมือนคนแหละครับ หากมีใครก็ไม่รู้เข้ามาในบริเวณบ้านเราโดยไม่ได้รับอนุญาต เรายังโกรธเลยใช่เปล่าครับ แต่เราไม่ได้โวยวายเหมือนน้องหมาก็แค่ นั้นเองครับ


บทความอื่นๆ หากท่านสนใจ ความตื่นเต้นของผมตอนแข่งขันจักรยาน ครั้งแรกในชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความตื่นเต้นของผมตอนแข่งขันจักรยาน ครั้งแรกในชีวิต

แข่งจักรยานครั้งแรก
ความรู้สึกแบบนี้หากคนไหนไม่เคยลงสนามเพื่อแข่งขันกีฬาจักรยาน หรือแม้กระทั่งกีฬาประเภทอื่นๆ ก็ตาม เขาเหล่านั้นก็จะไม่สามารถอธิบายได้อย่างละเอียดครับว่า คนที่อยู่ ณ. จุดสตาร์จในขณะนั้นเขารู้สึกกันยังไง ยิ่งถ้าหากการแข่งขันครั้งนั้นเป็นครั้งแรกด้วยแล้วละก็ ขอบอกได้เลยครับว่าไม่ว่าใครก็ต้องตื่นเต้นด้วยกันทั้งสิ้นครับ ซึ่งตัวผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ คือจะทำอะไรก็ดูผิดพลาดไปหมด, มือเท้าสั่น, หัวใจเต้นแรงถึงแรงมาก และยังมีอีกหลายอาการครับ ซึ่งแต่ละคนนั้นในความคิดผมนะครับ ผมว่าอาการตื่นเต้นที่แสดงออกมาของแต่ละคนจะแตกต่างกันครับ ในที่นี้ผมขอเล่าประสบการณ์ ในการแข่งขันจักรยานครั้งแรกของตัวผมเองเลยนะครับ ชัดเจนดี ซึ่งผมไม่เคยลืมเลยครับถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไป ประมาณ 20 กว่าปี แล้วก็ตาม

การแข่งขันจักรยานครั้งแรกของผมเกิดขึ้นที่จังหวัดแพร่

โดยผมเป็นตัวแทนนักกีฬาจักรยานจากจังหวัดเชียงใหม่ ตอนฝึกซ้อมใช้จักรยานธรรมดาที่ประกอบเองกับมือ ที่สมัยนี้คนส่วนใหญ่จะเรียกกันว่า "จักรยานวินเทจ" นั่นแหละครับ คือรุ่นเก่าถึงเก่ามากนั่นเองครับ เก็บเงินประกอบขึ้นมาทีละชิ้นเลยก็ว่าได้ครับ ก็ใจมันรักหละครับ ตอนนั้นจำได้ผมยังเรียนอยู่ชั่น ม.6 ครับ ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ ผมต้องลงแข่งขันถึง 3 รายการครับคือ
  • วันแรก คือ ประเภทถนนไทม์ไทรอัล 100 กิโลเมตร (หรือที่เราเรียกกันว่า ทีม 100 นั่นแหละครับ)
  • วันที่สอง คือ ประเภททีมเปอร์ซูท (ประเภทลู่ ครับ 4000 เมตร ทีม)
  • วันสุดท้าย คือ ประเภทถนนทางไกล 180 กิโลเมตร
วันแรก ที่ทำการแข่งขันทีม 100 ซึ่งคืนก่อนวันแข่งขันทางโค้ช เขาได้หาจักรยานคันใหม่ให้ผมขี่คือผมเข้าใจครับว่า เขาต้องการให้ผมได้รถที่มีคุณภาพดี นี่คือข้อผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งครับ ที่ตัดสินใจลงไป เพราะผมรู้สึกขี่ไม่สบายเลยเพราะช่วงรถนั้น ไม่เหมาะสมกับตัวผมคือจักรยานคันที่นำมาเปลี่ยนนี้ มันใหญ่กว่าตัวผมมากครับ ปรกติผมจะขี่จักรยาน ไซส์ที่เล็กกว่าไซส์ปรกติ ประมาณ 1 ไซด์ ครับ หลายคนอาจคิดว่าทำไม่หละ ผมตอบได้เลยครับว่า ผมเป็นคนช่วงตัวยาว แต่ขาผมสั้นครับ ผมสูง 179 ซ.ม. ผมจึงสามารถขี่จักรยานเสือหมอบ ไซส์ 52-54 ได้สบายครับ แค่หาสเต็มยาวๆ ผมก็ขี่จักรยานไซส์เล็กได้แล้วครับ แต่คันที่ผมต้องขี่ไซส์ตั้ง 57 พี่ๆ เขาปรับให้เข้ากับตัวผมที่สุดแล้วนะครับ แต่ก็ยังขี่ไม่สบายอยู่ดี มันเบากว่า และอะไหล่ดีกว่าก็จริงครับ แต่ต้องฝืนขี่ลำบากมากครับ

ซึ่งรายการนี้เป็นการแข่งขันรายการแรกในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ครับ ความตื่นเต้นไม่ต้องพูดถีงครับ ทั้งตื่นเต้นทั้งตื่นสนาม รวมอยู่ที่ผมหมดเลยครับ ยิ่งตอนที่กรรมการเรียกให้ไปที่จุดสตาร์ท ใจยิ่งเต้นแรงครับ อาการเหล่านี้จะค่อยลดไปเองครับ หากเราทำการแข่งขันบ่อยๆ แต่จะไม่หมดไปแน่นอนครับ คือทุกครั้งที่เราแข่งขันไม่ว่ากีฬาประเภทไหนก็ตามครับนักกีฬาทุกคน มีความตื่นเต้นหมดครับ ไม่ว่าจะผ่านสนามมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ตาม เหตุเพราะมันคือการแข่งขันกับคนอื่นนั่นเองครับ สังเกตุง่ายๆ ครับเวลาเราฝึกซ้อมจับเวลา ด้วยตัวเองนั้นความตื่นเต้นแทบจะไม่มีเลย หรือถ้าหากมีก็จะน้อยมากๆ ครับ สรุปในวันแรกนี้ทีมผมกับพี่ๆ ได้แค่เหรียญเงินครับ จากการแข่งขันจักรยานประเภทถนนไทม์ไทรอัล 100 กิโลเมตร

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด ในการลดความตื่นเต้นก่อนการแข่งขันก็คือ พยายามนึกอยู่เสมอว่านี้คือการซ้อมนั่นเองครับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะทำได้ยากครับ คือใครๆ ก็พูดได้แต่เวลาทำนั้นทำได้ยากครับ เราจึงจำเป็นต้องฝึกบ่อยๆ โดยพยายามทำดังนี้ครับ "ตอนเราฝึกซ้อมก็นึกเสียว่าเรากำลังแข่งขัน พอตอนแข่งขันจริงๆเราก็นึกเสียว่านี่คือการซ้อมใหญ่" พยายามเล่นกีฬาให้สนุกครับ กีฬาไม่ได้มีใว้ให้เราเครียดนะครับ ถ้าเครียดแล้วเราจะเล่นกีฬาเพื่อ....?

วันที่สอง ผมต้องลงทำการแข่งขันจักรยานประเภททีมเปอร์ซูทครับ ขอบอกไว้เลยว่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการแข่งประเภทถนนอีกครับ ต้องอธิบายก่อนครับว่าสมัยก่อนต้องขี่กันในลู่ดินครับ คือลู่วิ่งที่เขาใช้ทำการแข่งขันกรีฑา นั่นแหละครับ จักรยานจะเริ่มแข่งได้ก็ต่อเมื่อ การแข่งขันกรีฑาทุกประเภทเสร็จสิ้นลงเสียก่อนครับ พอเสร็จแล้วก็จะมีรถมาพรมน้ำ, ปรับหน้าดินให้เรียบ และแน่นครับ แต่ยังไงก็อันตรายอยู่ดีครับ ซึ่งถ้าใครยังพอนึกภาพสนามกรีฑาออก จะเห็นว่าโค้งในสนามจะเป็นรูปตัว ยู คือมันยิ่งกว่าโค้งหักสอกอีกครับ ลองนึกสภาพรถจักรยานที่ขี่มาด้วยความเร็ว 50 - 60 ก.ม./ชั้วโมง แล้วต้องเข้าโค้งแบบนี้ โอกาสเกิดอุบัติเหตุนั่นมีได้ตลอดครับ แต่โชคดีครับปีนี้ผมไม่ล้ม รายการนี้ผมกับพี่ๆ ในทีมทำดีที่สุดแล้ว ได้เหรียญเงินครับ แพ้ทีมจากจังหวัดพะเยาครับ

วันสุดท้าย ผมต้องลงทำการแข่งขันจักรยานประเภทถนน ระยะทาง 180 กิโลเมตร ซึ่งในภาษานักปั่นจักรยานมักจะเปรียบเทียบ รายการแข่งขันนี้ราวดั่งหนังชีวิตครับ เพราะระยะทาง มันช่างไกลแสนไกล ยิ่งถ้าได้แข่งขันกันในภูมิประเทศที่เป็นเขาสูงชันแล้วละก็ โอ้ว!! สุดจะบรรยายเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ได้ยากครับ ซึ่งในรายการนี้ ความตื่นเต้นของผมจะน้อยกว่าวันแรกๆ มากครับ โดยก่อนการแข่งขันผมนึกในใจว่าวันนี้ต้องเหนื่อยแบบสุดๆ แน่ๆ แต่ที่จริงแล้วมันไม่เหนื่อยอย่างที่คิดครับ ตอนซ่อมผมเหนื่อยกว่านี้อีกครับ หลายคนคงคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ก็เพราะว่าเวลาเราแข่งขันจริงๆ สำหรับประเภทถนนทางไกลแบบนี้มันไม่ได้ต้องปั่นเร็วตลอดครับ มันจะเป็นการปั่นเพื่อดูชั้นเชิง, หลอกล่อ, สปริ้นหนีเพื่อทดสอบแรง ของฝ่ายตรงข้ามครับ คนแรงเยอะๆ ไม่จำเป็นว่าต้องชนะเสมอไป ดังนั้นผมเด็กใหม่จึงโดนหลอกแบบง่ายๆ เลยครับ ซึ่งผมจะอธิบายว่าผมโดนหลอกอย่างไรครับ คือระหว่างที่ทำการแข่งขันอยู่นั้นมีเส้นทางอยู่ช่วงหนึ่งที่ต้องขึ้นเขาสูงชันยาวเลยครับ (โดยส่วนตัวผมชอบอยู่แล้วครับทางขึ้นเขา และผมว่าผมทำได้ดีด้วยครับ ผมไม่ได้ชมตัวเองนะครับ!! เพราะตอนฝึกซ้อมผมจะซ้อมเส้นทาง เชียงใหม่ - อ.เชียงดาว ประจำอยู่แล้วครับ) ระหว่างทางที่ขึ้นเขาดังกล่าว ผมก็ปั่นตามจังหวะของผมปรกติไม่ได้คิดอะไร แต่พอลองหันกลับไปดูข้างหลัง ผมพบว่าตัวเองปั่นทิ้งหากออกมาจากกลุ่มพร้อมกับพี่คนหนึ่งตามหลังผมมา ติดๆ แต่ไม่ใช่เพื่อนร่วมของทีมผม ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไรพยายามตั้งใจปั่นไปเรื่อยๆ สักพักพี่ที่ปั่นตามหลังผมเขาก็ตะโกนบอกว่า "น้องๆ จะรีบไปไหนไม่รอเพื่อนข้างหลังก่อนหรือ" ผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนร่วมทีมอีกสามคนอยู่ข้างหลัง ผมเลยเชื่อพี่เขาครับ เพราะกลัวว่าเพื่อนๆ ในทีมจะไล่ตามผมกับพี่เขาไม่ทัน พอหลังการแข่งผมจึงได้รู้ว่า ผมโดนหลอก เพราะพี่คนนั้นเขารู้ครับถ้าปล่อยผมไปผมคงปั่นไปทันกลุ่มแรกแน่ๆ เพราะผมไม่ได้สังเกตุว่าช่วง ประมาณ 30 กิโลเมตรแรก นั้นมีคนสปริ้นหนีออกจากกลุ่มไป 2 คน ซึ่งมี 1 คนในนั้นเป็นทีมเดียวกับพี่เขาครับ สรุป รายการนี้ ทีมผมได้แค่เหรียญเงินอีกเช่นเคยครับ ดังนั้นการแข่งขันจักรยานระยะทางไกลๆ แบบนี้ การวางแผนของโค้ช และประสบการณ์ของนักกีฬา เป็นเรื่องสำคัญ ไม่แพ้พละกำลังครับ


บทความที่น่าสนใจอื่นๆ วิธีวอร์มอัพ ก่อนทำการแข่งขันจักรยาน

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิธีวอร์มอัพก่อนทำการแข่งขัน จักรยาน

วอร์มอัพก่อนแข่งจักรยาน

ในการแข่งขัน จักรยาน หากต้องการเวลาดีๆ หรือชัยชนะ แล้วละก็การวอร์มอัพถือว่าสำคัญไม่แพ้ การที่คุณได้ฝึกซ้อมมาเป็นแรมปี ยกตัวอย่างเช่น คุณฝึกซ้อมมาดีมากเก็บตัวมาเป็นปีๆ แต่ก่อนการแข่งขัน คุณวอร์ออัพไม่ถึง หรือ อาจจะคิดในใจว่า "จะวอร์มอัพไปทำไมเก็บแรงไว้ตอนแข่งเลยดีกว่า" ผมว่าน้องๆ และพี่ๆ อีกหลายคนคงเคยคิดแบบนี้มาก่อน ผมขอบอกไว้เลยว่า คุณพลาดอย่างหนักเลยครับ ความคิดแบบนี้เท่าที่ผมเคยได้ยินมา ส่วนใหญ่คนที่กล่าวแบบนี้แสดงว่าเขาเหล่านั้นจะซ้อมมาน้อย แค่ 1 - 2 อาทิตย์ ก่อนมาทำการแข่งขัน ซึ่งไม่พอแน่นอนหากต้องการที่จะได้ชัยชนะ แล้วอีกกลุ่มหนึ่งก็คือนักปั่นที่ทำการฝึกซ้อมจักรยาน มาเป็นอย่างดี แต่ไม่ทราบจริงๆ ว่าก่อนแข่งขันต้องวอร์มอัพอย่างไร ใช้เวลาในการวอร์มเท่าไหร่ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มวอร์มอัพก่อนทำการแข่งขันจักรยานต้องทำตอนไหน ถึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งผมว่าสิ่งเหล่านี้หลายคนคงอาจจะยังไม่ทราบ หรืออาจจะทราบแต่ไม่ถูกต้อง

โดยผมขอเล่าประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของผมที่ผ่านมาสมัยเมื่อผมยังปั่นจักรยานแข่งขัน ผมจำได้ว่าตอนนั้น ผมเรียนอยู่ ม.6 ตอนนั้นผมก็ไม่ทราบเช่นกันครับ ว่าการวอร์อัพที่เหมาะสมเขาทำกันยังไง เช่น ก่อนที่ผมจะทำการแข่งขันจักรยาน ระยะทาง 1,000 เมตร พี่ๆ เขาก็ให้ผมขึ้นไปปั่นบนลูกกลิ้ง แล้วก็บอกว่า "เอ้า!! ติ่ง วอร์มได้แล้วใกล้ที่จะได้เวลาแข่งแล้ว" ผมก็จับรถจักรยาน ขึ้นลูกกลิ้งตามที่พี่ๆ เขาบอก แล้วก็ปั่นไปเลื่อยๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าต้องปั่นยังไง รอบขาเท่าไหล่ และต้องปั่นกี่นาที ถึงจะเสร็จ คือต้องปั่นไปจนกว่ากรรมการจะเรียกชื่อผมเข้าไปทำการแข่งขันนั่นแหละครับ ซึ่งตอนนั้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ ที่ผมเขียนแบบนี้ไม่ได้จะตำหนิหรือ ลบหลู่พี่ๆ เหล่านั้นนะครับ ผมถือว่าพวกพี่ๆ ที่ให้คำแนะนำผมมา ผมถือว่าเขาเหล่านั้นเป็นอาจารย์ผมหมดครับ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะแนะนำผมมายังไง อาจจะมีผิดพลาดบ้าง ซึ่งต้องเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์การกีฬาสมัยก่อน เมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้วแตกต่างกันมาก แล้วอีกทั้งสมัยนี้ยังมีการสื่อสารที่เจริญมาก ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ และระบบอินเตอร์เน็ท ซึ่งสมัยนี้แทบจะทุกบ้านก็ต้องมีคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ท ไว้ค้นหาข้อมูล หรือหาความบันเทิง ซึ่งหากเราอยากรู้เรื่องอะไรเดี๋ยวนี้แทบจะไม่ต้องถามใครเลย ค้นหาในอินเตอร์เน็ทได้แทบทุกอย่าง "ดังนั้นไม่ว่าเราจะเก่งกาจขนาดไหน มีความรู้มากมายเท่าไหร่ แต่หากไม่รู้คุณผู้ที่เคยสั่งสอนเรามา บุคคลนั้นก็ย่อมจะหาความเจริญในชีวิตได้ยากครับ"

การวอร์มอัพ สำหรับการแข่งขันจักรยานแต่ละประเภทนั้นจะแตกต่างกันครับ ซึ่งสามารถ แยกได้เป็น 4 ประเภทโดยใช้ระยะทางในการแข่งขันเป็นตัวกำหนดว่า เราต้องวอร์มอัพแบบไหน และใช้เวลาเท่าไหร่ครับ

การวอร์มอัพ โดยแยกตามระยะทางของการแข่งขัน จักรยาน


ระยะทางในการแข่งขัน จักรยาน ขั้นตอนในการวอร์มอัพ ก่อนการแข่งขันจักรยาน
น้อยกว่า 8 ก.ม
  1. ปั่นสบายๆ 20 นาที
  2. ปั่นด้วยรอบขา 120 rpms เป็นเวลา 1 นาที แล้วต่อด้วยปั่นสบายๆ 1 นาที สลับกัน (ทำแบบนี้ 4 เซ็ทครับ)
  3. ปั่นเต็มที่โดยให้อัตราการเต้นของหัวใจใกล้เคียงกับตอนแข่งขันมากที่สุดครับ ขั้นตอนนี้ใช้เวลา 5 นาทีครับ (สำหรับการแข่งขันระยะสั้นๆ นั้นระดับการเต้นของหัวใจส่วนใหญ่จะเกิน 90% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดครับ)
  4. ปั่นตามสบาย 5 นาที
ระยะทางมากกว่า 8 ก.ม แต่ไม่เกิน 100 ก.ม
  1. ปั่นสบายๆ 15 นาที
  2. ปั่นจักรยานโดยใช้อัตราทดเกียร์เหมือนที่เราใช้ตอนแข่งขันจริง โดยให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ประมาณ 85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด เป็นเวลา 2 นาที สลับกับปั่นสบายๆ 3 นาที (ทำแบบนี้ 5 เซ็ทครับ)
  3. ปั่นตามสบาย 5 นาที
ระยะทางมากกว่า 100 ก.ม แต่การแข่งขันนั้นใช้เวลาไม่เกิน 5 ชั่วโมง
  1. ปั่นสบายๆ 10 นาที
  2. ปั่นโดยใช้อัตราทดเกียร์เหมือนที่เราใช้ตอนแข่งขันจริง โดยให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ประมาณ 80% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด เป็นเวลา 5 นาที
  3. ปั่นตามสบาย 5 นาที
การแข่งขันที่ใช้เวลาในการแข่งขัน 5 ชั่วโมงขึ้นไป * ปั่นสบายๆ 10 นาที

ข้อสำคัญ หลังจากที่เราวอร์มอัพเสร็จแล้ว ภายในเวลา 10 นาที หลังจากที่เราวอร์มอัพเสร็จเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด ที่เราจะทำการแข่งขัน จักรยาน ซึ่งในช่วงที่เรารอทำการแข่งขันนั้น ให้เราทำการยืดกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อพร้อมที่จะทำงานเต็มที่ เพราะฉะนั้น คำนวนเวลาในการที่เราจะเริ่มวอร์มอัพ ให้แม่นยำครับ ยิ่งถ้าหากเป็นการแข่งขันระยะสั้นๆ เรื่องเวลาเป็นเรื่องสำคัญครับ หากเราวอร์มอัพไม่ถึงแล้วละก็ เราจะรู้จักกับความรู้สึกที่ว่า "ปั่นไม่ออก" ครับว่ามันรู้สึกอย่างไร แล้วยิ่งหากมันเกิดกับนักกีฬาที่ตั้งใจซ้อมมาแรมปี แล้วมาพลาดตอนสุดท้ายในเรื่อง การวอร์มอัพก่อนการแข่งขันจักรยาน ผมว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียดาย และไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยนะครับ


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ วิธีติดตั้ง คลีทรองเท้าจักรยาน

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิธีติดตั้ง คลีทรองเท้าจักรยาน

เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าหากเราปรับตำแหน่งการวางเท้าสำหรับ ปั่นจักรยาน ได้ถูกต้องแล้วมันจะส่งผลดีอย่างไร ต่อประสิทธิภาพในการปั่นจักรยานของเรา วันนี้ผมจึงอยากจะขอแนะนำวิธีติดตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน ให้เพื่อนๆ ที่ยังไม่ทราบ หรืออาจจะติดตั้งแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือเปล่า จะได้สามารถนำความรู้ดังกล่าวไปปรับตั้งคลีทรองเท้าของตนเองได้ครับ

ขั้นตอนการปรับตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน

การวางเท้าบนบันไดจักรยาน
1. อันดับแรก เรามาดูการวางเท้าที่ถูกต้องกันก่อนนะครับ ซึ่งในภาพข้างบน เป็นจุดที่ถูกต้องในการวางเท้าของเรา บนบันไดจักรยานครับ ซึ่งเป็นจุดที่เราสามารถส่งกำลังจากการออกแรงปั่นได้ดีที่สุดด้วยครับ

จุดกึ่งกลางคลีทบันไดจักรยาน
2. พอเราทราบจุดวางเท้าแล้ว เราก็มากำหนดจุดวางเท้าของ คลีทบันไดจักรยานกันครับ ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่าง ของยี่ห้อ Shimano นะครับ เพราะผมใช้ยี่ห้อนี้อยู่ครับ ผมได้ลองทาบดูแล้ว แกนของบันไดจักรยานจะพาดตรงจุดที่ผมขีด เส้นสีแดงไว้ครับพอดีครับ

หาตำแหน่งการวางเท้าที่รองเท้าจักรยาน

3. คราวนี้เรามาหาจุดที่เราจะต้องเอาคลีทไปติดที่รองเท้าจักรยานกันครับ (ผมต้องขออภัยที่ถ่ายรูปเท้า ลงบล็อก หารูปไม่ได้จริงๆ ครับ ^-^!!) เมื่อหาจุดที่เราจะติดตั้งคลีทได้แล้ว ให้เราทำเครื่องหมายที่รองเท้าไว้ด้วยครับ

ตำแหน่งที่ถูกต้องในการติดตั้งคลีทบันไดจักรยาน
4. คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ เราจะนำคลีทไปติดตั้งที่รองเท้าจักรยานกันแล้วนะครับ โดยนำคลีทที่เราได้ทำเครื่องหมายไว้แล้วตามข้อ 2 ไปทาบให้ตรงกับที่เราได้ทำเครื่องหมายไว้ที่รองเท้า ในข้อ 3 ครับ แล้วจึงหมุนน๊อต ตัวข้างบนสุดเข้าไป แต่ไม่ต้องหมุนแน่น นะครับแค่หลวมๆ พอครับ เพราะเราจะต้องปรับคลีทให้ตรงกับเส้นแบ่งกลางของรองเท้าอีกทีครับ (เส้นแบ่งกึ่งกลางของรองเท้า ในรองเท้าจักรยานรุ่นใหม่ๆ เกือบทุกยี่ห้อเขาจะทำ เครื่องหมายมาให้เราแล้วครับ จะสังเกตุเห็นเป็นขีดๆ แล้วมีตัวเลขกำกับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการปรับตั้งคลีทรองเท้า) พอเราปรับให้ตรงได้ที่แล้วก็หมุนน๊อต ทุกตัวให้แน่นพอดีอย่าออกแรงหมุนมากเกินไปนะครับ เดี๋ยวเกลียวที่รองเท้าจะพังได้ครับ

เห็นไหมละครับไม่ยากเลยใช่ไหมครับในการปรับ และติดตั้งคลีทรองเท้าจักรยาน ทุกคนสามารถทำได้เอง หรือหากใครไม่มั่นใจว่า รองเท้าที่ใส่อยู่ติดตั้งคลีทถูกต้องหรือเปล่า ก็ลองตรวจเช็คดูอีกทีครับ หากเราปรับได้ถูกต้องแล้ว จะทำให้เราปั่นได้สบายขึ้น และลดอาการปวดเท้าได้ด้วยครับ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ ความต้องการสารอาหารของแต่ละคนใน 1 วัน

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

ความต้องการสารอาหารของแต่ละคนใน 1 วัน

ตามที่ผมได้เกริ่นไว้ในบทความที่แล้วว่า จะเขียนบทความเกี่ยวกับ ความต้องการสารอาหารของแต่ละคนใน 1 วัน ผมจึงได้นั่งคิดอยู่นานว่าจะเขียนยังไงให้เนื้อหาครอบคลุม ทุกคน, ทุกเพศ และทุกวัย เพราะแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวัน, อายุ และอื่นๆ อีกมากมาย จึงทำให้ความต้องการสารอาหารของแต่ละคนแตกต่างกันไปด้วย ตอนแรกผมว่าจะเขียนอธิบายแบบ ที่เขาเขียนกันเช่น หากคุณ น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัมคุณต้องการสารอาหาร ชนิดที่1 - ?? กลัม, ชนิดที่2 - ?? กลัม แล้วให้สูตรไปคำนวน ซึ่งหากผมแนะนำไปแบบนี้ ผมคาดว่าจะต้องมีคนถามว่า "แล้วหากผมน้ำหนัก 65, สูง 170 เซนติเมตร ผมต้องได้รับสารอาหารประเภทต่างๆ ในปริมาณเท่าไหร่ใน 1 วัน?" ผมเลยตัดสินใจว่า น่าจะแนะนำเป็นเครื่องมือ ที่ใช้คำนวนเลยจะง่าย และครอบคลุมกว่า ซึ่งเครื่องมือคำนวนนี้ เป็นของเว็บไซต์ ต่างประเทศนะครับ ซึ่งคุณสามารถ คลิกที่ลิงค์ต่อไปนี้เพื่อไปที่เว็บ ดังกล่าวได้ครับ nutritiondata.self.com ซึ่งหากคุณไปแล้วคุณจะเจอหน้าเว็บเพจ เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ต้องตกใจครับ ให้สังเกตุทางด้านขวา คุณเจอกรอบเพื่อกรอกข้อมูลดังภาพ

คำนวนค่าดัชนีมวลกาย
และเมื่อคุณกรอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณครบแล้วก็กดคำนวน รอซักแปบ จะมีผลการคำนวนออกมาดังภาพข้างล่างครับซึ่งข้อมูลที่ได้เป็นของตัวผมเองครับ

ผลจากการคำนวนดัชนีมวลกาย
ผมขออธิบายเฉพาะหัวข้อหลักๆ เลยแล้วกันนะครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา โดยดูจากเครื่องหมายที่ผมได้ทำเป็นตัวเลขไว้นะครับ

ผลการคำนวน ค่าดัชนีมวลกาย

  1. ค่า BMI คือ ค่าดัชนีมวลกาย ของเรานั่นเองครับ ว่าเราส่วนสูงขนาดนี้ควรมีน้ำหนักที่เหมาะสมเท่าไหร่ ของ ผมค่าที่คำนวนออกมาได้ เท่ากับ 28.4

  2. ค่า BMI ที่ เหมาะสม ต้องอยู่ระหว่าง 18.5 ถึง 24.9 ครับ ส่วนค่าของผมผลที่ได้มานั้น เท่ากับ 28.4 แสดงว่าผมมีไขมันส่วนเกินเยอะไปหน่อยหากเป็นคนปรกติที่ไม่เล่นกีฬาก็ควรลด น้ำหนักให้ได้ตามค่าที่กำหนดครับ

  3. ส่วนน้ำหนักที่เหมาะสมของคนที่มีส่วนสูง 178 เซนติเมตร คือ ระหว่าง 59 - 79 กิโลกลัม สำหรับผมนั้นน้ำหนัก 90 กิโลกลัม จะเห็นได้ว่ามันเกินมาตราฐานที่กำหนดไว้ ซึ้งผมไม่ได้มีความกังวลกับน้ำหนักดังกล่าวเลย ทำไม หรือครับหลายคนอาจจะงง เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงเพิ่มน้ำหนักครับ เพราะโดยธรรมชาติแล้วผมจะเป็นคนผอม โดยน้ำหนักปรกติของผมจะอยู่ประมาน 55 - 58 กิโลกรัม ซึ่งช่วงหลังมานี้ผมเริ่มเข้าฟิตเนส ได้ประมาณ 5 เดือนแล้วครับ คือผมอยากจะลองเล่นกีฬาเพาะกายดูครับ ว่า คนอย่างผมอายุ 42 ปี จะสามารถมีกล้ามสวยๆ เหมือนนักเพาะกายได้หรือเปล่า ซึ่งผมว่ากีฬาประเภทนี้ใช้ทุนสูงพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ซึ่งตอนนี้ผมทานอาหารวันละ 6 มื้อ เลยนะครับ เสื้อ และกางเกงบางตัวของผมเริ่มที่จะใส่ไม่ได้แล้วครับ ตามที่ผมได้บอกไว้ในบทความก่อนหน้านี้ผมจะทำน้ำหนักให้ได้ประมาณ 100 กว่าๆ แล้วผมถึงจะหยุดเพิ่มน้ำหนัก คงต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปีนับจากนี้ครับ

  4. ผลที่แสดงว่าวันหนึ่งผมต้องการพลังงานทั้งหมดเท่าไหร่ ซึ่งผลที่ได้คือ ผมต้องการพลังงานทั้งหมด 4,641.0 กิโลแคลอรี เป็นพลังงานที่ผมต้องใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน 3,803 กิโลแคลอรี และต้องใช้อีก 838 กิโลแคลอรี ในการออกกำลังกายในฟิตเนสครับ

  5. ส่วนนี้เป็นส่วนที่เขาบอกว่าในแต่ละวันเราควรได้รับสารอาหารต่างๆ ในปริมาณเท่าไหร่ ส่วนหากท่านได้อยากจะทราบว่าวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ นั้นมาจากอาหารชนิดไดก็สามารถ คลิกที่ลิงค์ไปดูได้เลยครับ แต่เขาจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ หากท่านไดไม่สะดวก ในบทความต่อไปผมจะลงให้ครับว่า สารอาหารแต่ละชนิดมาจากแหล่งไดบ้างเป็นภาษาบ้านเราครับ จะได้ไม่ต้องแปลกัน เดี๋ยวผมจัดให้ครับ

  6. เขาแนะนำไว้ว่า พลังงานที่เราควรจะได้รับในแต่ละวันนั้น ควรเป็นพลังจากแหล่งใดบ้าง ซึ่งเขาได้แนะนำไว้ว่า พลังงานที่เราควรได้รับในแต่ละวันควรมาจาก คาร์โบไฮเดรต 45 - 65%, จากไขมัน 20 - 35% และจากโปรตีน 10 - 35%

ทั้งหมดที่ผมได้อธิบายมาข้างต้นก็คงพอทำให้หลายๆ คนมีความเข้าใจ และนำไปปรับให้เข้ากับการใช้ชีวิตของแต่ละคนได้นะครับ ซึ่งเราไม่ต้องเคร่งครัดว่า ทุกมื้อเราต้องได้สารอาหารครบทุกชนิด ก็ได้ครับ แค่ใน 1 วันเราทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ แต่หากใครสามารถ ทำได้ทุกมื้อนี่ผมถือว่าสุดยอดมากครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งครับ ผมอยากแนะนำให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายกันเยอะๆ ครับ วันหนึ่งมันใช้เวลาไม่มากเลยครับ แค่ 30 นาที ซึ่งหลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออกกำลังกายอยู่มากครับ "ออกกำลังกายในที่นี้ไม่ได้หมายถึง การซักผ้า, กวาดบ้าน, ถูบ้าน หรือล้างรถนะครับ" ซึ่งที่กล่าวมานี้มันคือกิจวัตรประจำวันของคุณ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย ผมถือว่าเป็นการใช้พลังงานเฉยๆ ซึ่งการออกกำลังกายที่เป็นการออกำลังกายจริงๆ เช่นการที่คุณไปวิ่ง อย่างต่อเนื่อง 30 นาที หรือไปปั่นจักรยาน 30 นาที โดยใน 30 นาทีนี้คุณต้องรู้สึกเหนื่อยปานกลาง ถึงเหนื่อยมาก นั่นแหละครับถึงจะเป็นการออกกำลังกาย ซึ่งผมคิดว่าหลายคนที่อ้างว่าไม่มีเวลา หรือเหนื่อยล้าจากการทำงานประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเพราะว่า เขาเหล่านั้นคงกลัวความรู้สึกที่ว่า "เหนื่อยปานกลาง ถึงเหนื่อยมาก" นี่แหละครับ และอย่ายึดติดกับคำพูดที่ว่า "แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย" เพราะมันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณมีสุขภาพที่ดี และแข็งแรงครับ


บทความอื่นๆ ที่น่าอ่าน การฝึกเวทเทรนนิ่ง สำหรับนักปั่นจักรยาน